• บริษัทที่มีการสั่งสินค้าเพื่อนำมาจำหน่าย ต้องดำเนินการผ่านบริษัทการค้าของรัฐเท่านั้น ไม่สามารถนำเข้าเองโดยตรงได้
• บริษัทที่เป็นผู้ผลิตและมีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาใช้เป็นปัจจัยในการผลิต บริษัทประเภทนี้จะมีใบอนุญาตให้นำเข้าสินค้าได้เองโดยไม่ต้องผ่านบริษัทการค้าของรัฐ
ภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจในประเทศเวียดนามที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ภาษีศุลกากร ภาษีสิ่งแวดล้อม ภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สิน เป็นต้น
ภาษีศุลกากร (Customs Duty)
ภาษีนำเข้า (Import duty) ใช้อัตราตามข้อตกลงสำหรับกลุ่มประเทศ WTO และ ASEAN โดยทั่วไปจะกำหนดดังตาราง
สำหรับการส่งออกสินค้าทั่วไปไม่คิดภาษีส่งออก (Export duty) ยกเว้นสินค้าจากทรัพยากรธรรมชาติที่กำหนดไว้ในภาคผนวกของ Circular No.157/2011 ที่ต้องเสียภาษีส่งออกตั้งแต่ 0%-40% เช่น ทราย หินอ่อน แกรนิต แร่ น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ และเศษโลหะ
ภาษีสิ่งแวดล้อม (Environment Protection Tax)
ตั้งแต่ 1 มกราคม 2555 เวียดนามมีการกำหนดใช้กฎหมายว่าด้วยภาษีสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ภาษีสิ่งแวดล้อมเป็นภาษีทางอ้อมโดยมีอัตราดังนี้
รูปที่ 4.2 (ที่มา : กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์, 2557)
ภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สิน (Capital Gain Tax)
เป็นอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากบริษัทร่วมทุน (JV) บริษัทที่ดำเนินกิจการในลักษณะสัญญาร่วมทุนธุรกิจ (BCC) หรือบริษัทที่ต่างชาติลงทุนเองทั้งหมดในอัตราร้อยละ 25 กำไรจากการขายทรัพย์สิน (Gain) ได้แก่ กำไรที่เกิดจากส่วนต่างราคาขายของทรัพย์สินลบด้วยต้นทุน หรือ ราคาเดิมของทรัพย์สินลบด้วยต้นทุนในการโอนขาย
เวียดนามใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ผูกค่ากับเงินสกุลอื่น (Pegged Exchange Rate) โดยธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม (State Bank of Vietnam: SBV) ซึ่งเป็นธนาคารกลางของเวียดนามจะเป็นผู้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนทางการเป็นรายวัน โดยใช้ค่าเฉลี่ยของอัตราแลกเปลี่ยนในวันก่อนหน้าของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของรัฐบาลในการคำนวณ
ในปี ค.ศ. 2014 ได้ออกระเบียบให้ผู้ที่ใช้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะต้องเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศที่กำหนดให้เท่านั้น เพื่อควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนและเงินด่องให้มีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในหลายด้านที่รัฐบาลเวียดนามต้องการลดการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ในประเทศลง
รูปที่ 4.3 (ที่มา : www.cdn.static.tuoitre.vn, 2013)
รัฐบาลเวียดนาม ไม่อนุญาตให้เอกชนเป็นเจ้าของที่ดิน ที่ดินทั้งหมดเป็นของรัฐและรัฐจะเป็นผู้จัดสรรให้ หรือให้เช่าระยะยาว บริษัทต่างชาติและชาวต่างชาติจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการจัดสรรให้ใช้ที่ดินระยะยาว แต่ชาวต่างชาติอาจถือครองที่ดินได้โดยการเช่าที่ดินจากรัฐบาล ซึ่งจะเช่าที่ดินได้ 50 ปี และต่ออายุได้ไม่เกิน 70 ปี
โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของเวียดนาม ประกอบด้วย Land Law No.13/2003/QH11 และ Decree No.181/2004/ND-CP (amended by Decree No.17/2006/ND-CP)
รูปที่ 4.4 (ที่มา : www.holidayhometimes.com, 2013)
ปัจจุบันบริษัทต่างชาติสามารถจ้างแรงงานท้องถิ่นได้โดยตรง โดยบริษัทต้องจ่ายค่าประกันสังคมร้อยละ 15 และค่าประกันสุขภาพอีกร้อยละ 2 ของค่าจ้างเงินเดือนให้กับพนักงานชาวเวียดนามด้วย
ส่วนการจ้างแรงงานต่างชาตินั้น บริษัทสามารถจ้างแรงงานต่างชาติได้เฉพาะตำแหน่งที่ต้องใช้ทักษะความชำนาญสูง ซึ่งไม่สามารถสรรหาได้ภายในเวียดนาม โดยให้ยื่นคำขอจ้างแรงงานต่างชาติ (Work Permit) เป็นลายลักษณ์อักษรไปยังสำนักงานแรงงานในท้องถิ่น (The Local Department of Labour, War Invalids and Social Affairs: DoLISA) และต้องระบุระยะเวลาการจ้างแรงงานต่างชาติดังกล่าว พร้อมแผนการฝึกอบรมบุคลากรชาวเวียดนามให้มีความสามารถทัดเทียม เพื่อทำงานแทนแรงงานต่างชาติได้ในอนาคต
รูปที่ 4.5 (ที่มา : www.vietnambreakingnews.com, 2016)
1) ธุรกิจทำเหมืองแร่ไม่มีสิทธิพิเศษด้านภาษีนิติบุคคล แต่อาจจะได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีภายใต้การส่งเสริมการลงทุน ผู้ประกอบกิจการที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ในการสำรวจและทำเหมืองแร่จะมีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลค่อนข้างสูงกว่าธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะการทำเหมืองแร่ทองคำขาว ทองคำ เงิน ดีบุก ทังสะเตน พลวง รัตนชาติ และแร่หายาก จะใช้อัตรา 50%
2) กฎหมายลงทุนจากต่างประเทศได้ห้ามใช้เงินตราต่างประเทศในการทำธุรกรรมในประเทศหลายประเภท และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะต้องเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศที่กำหนดให้เท่านั้น เพื่อควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนและเงินด่องให้มีเสถียรภาพ
3) บริษัทต่างชาติและชาวต่างชาติจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดิน แต่อาจถือครองที่ดินได้โดยการเช่าที่ดินจากรัฐบาล ซึ่งจะเช่าที่ดินได้ไม่เกิน 50 ปี ต่ออายุได้รวมไม่เกิน 70 ปี
รูปที่ 4.6 (ที่มา : www.sbcinterlaw.com, 2015)